T O P I C R E V I E W |
admin |
Posted - 13 Jan 2021 : 15:00:10 ปีงบประมาณ 2563 ไข้เลือดออกร้ายกับเจ้ายุงลายในฤดูฝน อาจารย์วิชชาภรณ์ คิดสำโรง
สวัสดีค่ะท่านผู้ฟังรายการ สุขภาพดีชีวีมีสุข วันนี้คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ขอเสนอเกร็ดความรู้เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ในตอนที่มีชื่อว่า ไข้เลือดออกร้ายกับเจ้ายุงลายในฤดูฝน ในช่วงนี้ก็ยังคงอยู่ในช่วงของฤดูฝน ท่านผู้ฟังบางท่านอาจจะชอบฤดูฝนเพราะในขณะที่ฝนตกโปรยปรายลงมานั้นทำให้อากาศเย็นสบาย ภายหลังฝนหยุดตกยังทำให้รู้สึกสดชื่น ด้วยหยดน้ำฝนที่ชุ่มฉ่ำที่เกาะอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชอุ่ม พร้อมทั้งแสงแดดอ่อน ๆ ช่างเป็นบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์จริง ๆ แต่ท่านผู้ฟังทราบไหมคะว่า ในฤดูกาลที่น่ารื่นรมย์นี้แอบแฝงไปด้วยภัยร้ายจากเจ้ายุงลายที่อาจจะนำพาโรคไข้เลือดออกมาสู่ลูกหลานของเรา หรือตัวท่านผู้ฟังเอง โรคไข้เลือดออก หรือที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคไข้เลือดออกเดงกี เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (dengue virus) ที่ถูกนำมาโดยยุงลายตัวเมีย โดยเมื่อยุงลายตัวเมียกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกที่อยู่ในระยะไข้ เชื้อไวรัสเดงกีจะเข้าสู่ยุงลาย และสะสมอยู่ในต่อมน้ำลายของยุงลาย เมื่อยุงลายที่มีเชื้อไวรัสเดงกีไปกัดคนอื่น ๆ ก็จะปล่อยเชื้อไวรัสนี้ไปยังคนที่ถูกกัด ทำให้คนคนนั้นป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกได้ ซึ่งจะมีระยะฟักตัวของโรคอยู่ประมาณ 5-8 วัน หลังจากนั้นจะทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการของโรค อาการของโรคไข้เลือดออกจะมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยจะพบอาการตั้งแต่อาการรุนแรงน้อยไปจนถึงอาการรุนแรงมาก และเสียชีวิตได้ ซึ่งอาการของโรคไข้เลือดออก มีดังนี้ 1. มีไข้สูงลอย 39-40 องศาเซลเซียส อยู่ 2-7 วัน 2. มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร 3. อาจพบจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกสีแดงเล็ก ๆ ตามผิวหนัง หรือมีเลือดออกบริเวณอื่น เช่น เลือดออกตามไรฟัน เลือดกำเดาไหล และมีเลือดปนในปัสสาวะหรืออุจจาระ เป็นต้น 4. ปวดท้องอย่างรุนแรง กดเจ็บบริเวณชายโครงด้านขวา เนื่องจากมีภาวะตับโต 5. ภายหลังจากที่ไข้ลดลง 24-48 ชั่วโมง ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลวหรือภาวะช็อก (shock) โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย ปลายมือปลายเท้าเย็น ปัสสาวะน้อยลง ไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว ความดันโลหิตลดต่ำ วัดชีพจรไม่ได้ ซึ่งเป็นอาการในระดับรุนแรงมาก หากพบว่ามีอาการของโรคไข้เลือดออกดังที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโรค และควรมีการดูแลตนเองหากเป็นโรคไข้เลือดออก ดังนี้ 1. หากมีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวลดไข้บ่อย ๆ และรับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล (paracetamol) ห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง ห้ามรับประทานยาแอสไพริน (aspirin) โดยเด็ดขาด เพราะอาจจะทำให้มีเลือดออกได้ง่ายขึ้น 2. รับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก และดื่มน้ำมาก ๆ 3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 4. เฝ้าสังเกตอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการอาเจียนมาก ปวดจุกท้อง ตัวตาเหลือง มีจ้ำเลือดหรือมีอาการเลือดออก หรือมีอาการของภาวะช็อกเกิดขึ้นควรรีบไปพบแพทย์ทันที โรคไข้เลือดออกสามารถป้องกันไม่ไห้เกิดได้ ด้วยการป้องกันตัวเองไม่ให้ยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย นอนกางมุ้ง ทายากันยุง และสวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิด และสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย โดยกำจัดขยะหรือภาชนะที่มีน้ำขัง ปิดฝาโอ่งน้ำให้สนิท ใส่เกลือแกงหรือทรายอะเบตในจานรองขาตู้ทุกสัปดาห์ หมั่นดูแลบริเวณบ้านให้สะอาด และใส่ปลาหางนกยูงลงในอ่างบัว หรือถังเก็บน้ำในห้องน้ำเพื่อกินลูกน้ำยุงลาย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้เราห่างไกลจากโรคไข้เลือดออก และฤดูฝนที่น่ารื่นรมย์ของเราก็จะกลับมาดังเดิม สำหรับวันนี้เวลาหมดลงแล้ว หวังว่าทุกท่านจะได้รับสาระดี ๆ ในการดูแลตนเองให้ห่างไกลจากโรคไข้เลือดออก เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรงนะคะ พบกับรายการ สุขภาพดี ชีวีมีสุข ได้ใหม่ในครั้งต่อไป สวัสดีค่ะ
แหล่งอ้างอิง กรมควบคุมโรค. (2562). ไข้เลือดออก (Dengue Fever). วันที่สืบค้นข้อมูล 31 กรกฎาคม 2563, เข้าถึงได้จาก https://ddc.moph.go.th/disease_detail.php?d=44 นพพร อภิวัฒนากุล. (2559). ไข้เลือดออก ภัยร้ายใกล้ตัว. สืบค้นข้อมูล 31 กรกฎาคม 2563, เข้าถึงได้จาก https://www.rama.mahidol.ac.th/atrama/issue023/rama-varieties โรงพยาบาลเด็กแห่งชาติมหาราชินี และสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลงกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. (2557). แนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก. นนทบุรี: โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย.
|
|
|